การฝึกสมาธิเพื่อคุณภาพการดำรงชีวิตประจำวันที่ดีขึ้น


หลายๆ อย่างในโลกเราทุกวันนี้ เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมามาก ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารแบบทุกวันนี้แล้ว เราได้รับข้อมูลต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องการงาน เรื่องเรียน เรื่องทั่วไป เรื่องกีฬา การเมือง ต่างๆ บางครั้งการรับรู้รับเห็น รวมทั้งการทำงานของเราที่ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็ทำให้เราเกิดความเครียด เกิดความวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว กังวลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว กังวลต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ทุกสิ่งอย่างเหล่านี้ก่อเกิดผลเสียกับร่างกายทีละน้อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยความเคยชิน หรือแม้แต่ไม่รู้เท่าทันสิ่งที่บั่นทอนชีวิตเราเหล่านั้นอยู่ แต่เชื่อหรือไม่คะว่า มีวิธีการที่เราสามารถป้องกันตัวจากผลเสียเหล่านั้นได้ นั่นคือการนั่งสมาธิ หรือการทำสมาธินั่นเองค่ะ

การทำสมาธิ เป็นพื้นฐานเบื้องต้น ของการกระทำกิจกรรมการใดทั้งปวง หากทำสิ่งใดโดยขาดสมาธิ ย่อมประสบผลเสียไม่มากก็น้อย การทำสมาธิโดยปกติชีวิตประจำวัน คงไม่ต้องถึงกับต้องนั่งสมาธิก่อน ทำกิจกรรมต่างๆ แต่ควรฝึกการทำและมีสมาธิมาจากการนั่งก่อน เพื่อความคล่องแคล่วในสมาธิ จากนั้น จึงพัฒนาเป็นการเดินหรือเพ่งกสิณต่อไปเพื่อปฏิบัติที่ยิ่งกว่า เพียงนั่งสมาธิ จนสามารถควบคุมสมาธิ ได้คล่องบ้าง แม้ทำกิจกรรมใดย่อมสามารถรวบรวมสมาธิได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่เคยฝึก เป็นผลโดยตรง ของความเจริญก้าวหน้าในการงาน การดำรงชีวิต และการปฏิบัติธรรมะขั้นสูง

ประโยชน์ที่ได้จากการนั่งสมาธิ
เรียกได้ว่าการทำสมาธิเป็นสิ่งมหัศจรรย์แบบไม่ต้องจ่ายเงินเลยทีเดียว (อาจจะทำให้จ่ายเงินน้อยลงด้วยซ้ำไป) เพราะไม่ได้ต้องการอุปกรณ์อะไรเลย สมาธิทำให้สมองปลอดโปร่ง เมื่อสมองมีสมาธิ คลื่นไฟฟ้าสมองชนิดดีที่ทำให้สมองสงบจะเพิ่มขึ้น ความสับสนวุ่นวายในสมองก็จะลดลง เมื่อความสับสนลดลงก็จะทำให้อารมณ์ดี จิตใจดี ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ขี้กลัวแตกตื่นโดยไม่มีเหตุผลอันควร มองโลกในแง่ดี มีผลให้พูดจาอะไรกับใครก็น่ารักน่าฟัง เลือดไหลเวียนสู่สมองได้ดีขึ้น หัวใจเต้นช้าลง (ตรงกันข้ามกับอาการตื่นเต้นตกใจ เร่งเร้าให้ต้องตัดสินใจ) หลอดเลือดทำงานเบาลง ความดันโลหิตลดลง นอกจากนี้สมาธิที่ดียังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทนทานต่อการติดเชื้อมากกว่าด้วยค่ะ